"ทบทวนเนื้อหาสำหรับสอบกลางภาค"

ยินดีต้อนรับสู่เพจ HQ102 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการท่องเที่ยว ของหนูค่ะ
สำหรับเสนอผลงานและไอเดียของวิชานี้ค่ะ คณะมนุษยศาสตร์


"ทบทวนเนื้อหาสำหรับสอบกลางภาค"

1. เทคโนโลยีสารสนเทศ
2. อุตสาหกรรมท่องเที่ยว
3. CRS – Computer Reservation System
4. GDS – Global Distribution System
5. Cloud Computing
6. E-Tourism
7. Web blog


สรุป ..

               1.เทคโนโลยีสารสนเทศ
ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทำให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอดเวลา
พัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้ชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนไปมาก ลองย้อนไปในอดีตโลกมีกำเนินมาประมาณ 4600 ล้านปี เชื่อกันว่าพัฒนาการตามธรรมชาติทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตถือกำเนินบนโลกประมาณ 500 ล้านปีที่แล้ว ยุคไดโนเสาร์มีอายุอยู่ในช่วง 200 ล้านปี สิ่งมีชีวิตที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ค่อย ๆ พัฒนามา คาดคะเนว่าเมื่อห้าแสนปีที่แล้วมนุษย์สามารถส่งสัญญาณท่าทางสื่อสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือ และจารึกไว้ตามผนึกถ้ำ เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่ามนุษย์ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการพัฒนาตัวหนังสือที่ใช้แทนภาษาพูด และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่าฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 500 ถึง 800 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีเริ่มเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทำให้การสื่อสารด้วยข้อความและภาษาเพิ่มขึ้นมาก เทคโนโลยีพัฒนามาจนถึงการสื่อสารกัน โดยส่งข้อความเป็นเสียงทางสายโทรศัพท์ได้ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว และเมื่อประมาณห้าสิบปีที่แล้ว ก็มีการส่งภาพโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ทำให้มีการใช้สารสนเทศในรูปแบบข่าวสารมากขึ้น ในปัจจุบันมีสถานที่วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ แ ละสื่อต่าง ๆ ที่ใช้ในการกระจ่ายข่าวสาร มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อรายงานเหตุการณ์สด เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของการพัฒนาเทคโนโลยีรวดเร็วขึ้นเมื่อมีการพัฒนาอุปกรณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ จะเห็นได้ว่าในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องให้เห็นอยู่ตลอดเวลา


                2.อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
               ภาพรวมของอุตสาหกรรม
ประไทยกำลังก้าวสู่การเป็นการชาคมอาเซียน (ASEAN Community)ในปี 2558 โดยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวถือเป็น 1 ใน 12 ภาคบริการที่มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยนี้เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวมากด้วยสภาพแวดล้อม สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและหลากหลาย มีทั้งแบบเชิงธรรมชาติอย่างทะเล ภูเขา น้ำตก เชิงศิลปวัฒนธรรมที่มีทั้งวัดวาอาราม พระราชวัง โบราณสถานต่าง ๆ รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยวที่ตอบสนองวิถีชีวิต คนเมือง อย่างบรรดาแหล่งช็อปปิ้ง สถานบันเทิง สปา เป็นต้น ประกอบกับการบริการที่เป็นมิตร เอกลักษณ์ของคนไทยที่มีความอ่อนโยนทำให้ชาวต่างชาติประทับใจ โรงแรม รีสอร์ตไทยหลาย ๆ แห่งก็มีชื่อเสียงระดับโลก ทั้งค่าครองชีพที่หากเทียบกับประเทศอื่นแล้วถือว่าไม่สูงมากนัก และยังมีระบบการสื่อสารและสาธารณูปโภคที่ค่อนข้างมีความพร้อม หากเทียบกับประเทศใกล้เคียง จึงทำให้ปัจจุบันประเทศไทยมีรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกว่า 1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 8 ของ GDP ของประเทศเลยทีเดียว องค์การการท่องเที่ยวโลก (World Tourism Organization : UNWTO) ได้คาดการณ์ว่า ในอีก 8 ปีข้างหน้า ค.ศ. 2020 จะมีนักท่องเที่ยวทั่วโลกกว่า 1,600 ล้านคน โดยเป็นนักท่องเที่ยวแถบเอเชียแปซิฟิกถึง 400 ล้านคน ในจำนวนนั้นส่วนหนึ่งเป็นนักท่องเที่ยวในอาเซียนประมาณ 160-200 ล้านคน
            แนวโน้ม
แสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยวในแถบอาเซียนยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีกมาก ประเทศสมาชิกอาเซียนหลาย ๆ ประเทศก็เริ่มตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศแถบอาเซียนมากขึ้น และยังเป็นการรองรับการก้าวเข้าไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2558 ที่จะถึงนี้อีกด้วย ซึ่งการก้าวเข้าไปสู่การเป็น AEC อย่างเต็มรูปแบบนี้จะมีการเปิดเสรีในหลายด้านรวมไปถึงเรื่องการท่องเที่ยวด้วย การเปิดเสรีดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้ประกอบการด้านธุรกิจการท่องเที่ยวไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงมากขึ้นในอนาคต ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจึงต้องเร่งพัฒนาอย่างเร่งด่วน เพื่อให้มีศักยภาพเพียงพอที่จะอยู่รอดในภาวะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีแนวโน้มว่าจะมีการแข่งขันสูงต่อไป
จุดอ่อนประการแรกของคนไทยที่จะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ ทักษะด้านภาษาต่างประเทศ บุคลากรในภาคการท่องเที่ยวของไทยนั้น หลาย ๆ คนยังใช้ภาษาที่ 2 อย่างภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ไม่คล่อง ทั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงภาษาที่ 3 บุคลากรในที่นี้รวมไปถึงแม่บ้าน พนักงานรักษาความปลอดภัย ฯลฯ ซึ่งแม้ในการทำงานจะไม่ต้องสื่อสารกับนักท่องเที่ยวมากนัก แต่อาจมีบางสถานการณ์ที่ต้องสื่อสารกับนักท่องเที่ยว จุดอ่อนข้อนี้ถ้ายังไม่แก้ไขจะทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านมาก
             กลยุทธ์ในการปรับตัว
ประเทศไทยจึงควรหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาษาที่ 2 และที่ 3 ของประชากรในประเทศ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับแรงงานประเทศอื่น ๆ ได้เมื่อเปิด AEC
นอกจากเรื่องทักษะภาษาต่างประเทศแล้ว บุคลากรไทยยังต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกอาเซียน จากที่มีแนวโน้มว่าภาคการท่องเที่ยวจะมีการเติบโตมากขึ้นภายหลังจากการเข้าสู่การเป็น AEC และนักท่องเที่ยวที่มาจากประเทศสมาชิกอาเซียนก็เป็นนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่มีแนวโน้มจะเข้ามาในไทยมาก
บุคลากรภาคการท่องเที่ยวไทยจึงควรเรียนรู้และทำความเข้าใจวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกอาเซียนไว้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการสร้างความประทับใจในการให้บริการนักท่องเที่ยวเหล่านั้น นอกจากนี้การเรียนรู้วัฒนธรรมประเทศเพื่อนบ้านยังเป็นประโยชน์ต่อบุคลากรภาคการท่องเที่ยวและบริการอื่น ๆ ที่จะออกไปทำงานในประเทศสมาชิกอาเซียนอีกด้วย
ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเมื่อเข้าสู่การเป็น AEC แล้วอาจประสบปัญหาไม่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการจากประเทศอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มว่าจะเข้ามาลงทุนในไทยสูง ผู้ประกอบการไทยจึงควรสร้างความร่วมมือระหว่างกัน อาจร่วมมือกันโดยสร้างพันธมิตรทางการค้า หรือรวมกันโดยควบรวมกิจการกัน เพื่อลดการแข่งขันกันเองและเสริมสร้างธุรกิจให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
การเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 จะส่งผลให้อุตสาหกรรมการเดินทางและการท่องเที่ยวขยายตัวมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการผลักดันเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งองค์กรภาครัฐและเอกชนจำนวนมากต่างทุ่มงบประมาณเพื่อลงทุนในการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านดิจิตอล เพื่อสร้างยอดขายออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ และเครือข่ายการตลาดให้ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคและทั่วโลก
แม้การเข้าสู่การเป็น AEC อาจมีผลทำให้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวไทยต้องเผชิญกับภาวะที่มีการแข่งขันสูง จนอาจดูเหมือนเป็นวิกฤตสำหรับภาคการท่องเที่ยว แต่หากภาครัฐและเอกชนไทยพัฒนาจุดอ่อนและเสริมสร้างจุดแข็งให้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น การเข้าสู่การเป็น AEC ก็จะกลายเป็นโอกาสสำหรับชาวไทยที่มีความถนัดด้านการท่องเที่ยวและบริการอยู่แล้ว ให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเติบโต สร้างรายได้ให้กับประเทศมากกว่าเดิม

         3. CRS – Computer Reservation System หรือ ระบบสำรองที่นั่งผ่านคอมพิวเตอร์

 ระบบสำรองที่นั่งของการบินไทย เดิมการบินไทยมีระบบสำรองที่นั่งของตนเอง คือระบบรอยัล (Royal System) โดยในระยะแรก ผู้โดยสารที่ต้องการสำรองที่นั่งต้องติดต่อโดยตรงกับการบินไทย ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนแผนทางการตลาดทำให้เกิดตัวแทนจำหน่าย (Travel Agent) ขึ้น ซึ่งตัวแทนจำหน่ายตั๋วได้เข้ามามีบทบาทและมีอำนาจในการตัดสินใจซื้อที่นั่งของสายการบินมากขึ้น จากการสำรวจสถิติของประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า  การขายผ่านตัวแทนจำหน่ายมียอดสูงถึงร้อยละ 80 ดังนั้นการบินไทยจึงได้ติดตั้งระบบรอยัลให้กับตัวแทนจำหน่าย (Travel Agetn) ในประเทศและประเทศใกล้เคียง ซึ่งการใช้ระบบรอยัลนี้  ทั้งการบินไทย (สำนักงานขายบัตรโดยสาร และสำรองที่นั่ง) และตัวแทนจำหน่ายจะขายได้เฉพาะที่นั่งของเที่ยวการบินไทยเท่านั้น อีกทั้งการขยายเครือข่ายก็เป็นไปได้อย่างจำกัด เนื่องจากมีต้นทุนการพัฒนา และเชื่อมโยงระบบสูง การบินไทยจึงได้ตัดสินใจ เข่าร่วมพันธมิตรกับระบบสำรองที่นั่งผ่านคอมพิวเตอร์ ( Computerize Reservation System: CRS)  ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในภาคพื้นยุโรป คือระบบอะมาดิอุส (Amadeus) ซึ่งมีสายการบินลุฟท์ฮันซ่า แอร์ฟรานซ์  ไอบีเรียและเอสเอเอส  เป็นแกนนำในการจัดตั้ง  โดยได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2533  ให้พันธมิตร และร่วมลงทุนในบริษัทการตลาดอะมาดิอุสประจำประเทศไทย  (Amadeus Thailand) ซึ่งสามารถดำเนินการในลักษณะเป็นเอกเทศเพิ่มความคล่องตัว และขีดความสามารถ  โดยได้สิทธิในการจัดจำหน่ายในประเทศไทย อินโดจีน  และพม่า

       ปัจจุบันการสำรองที่นั่งของการบินไทยทำโดยผ่านทางสำนักงานขายของการบินไทย และผ่านทางตัวแทนจำหน่าย  (Travel Agent) กว่าแสนรายทั่วโลก โดยมีสัดส่วนจากการขายผ่านสำนักงานขายของการบินไทยเอง คิดเป็นร้อยละ 40 ในขณะที่การขายผ่านตัวแทนจำหน่ายคิดเป็นร้อยละ 60 สำหรับ

    ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ขณะนี้สามารถสำรองที่นั่งของเที่ยวบินการบินไทยโดยผ่านระบบ CRS คือ ระบบอะมาดิอุส (Amadeus) ที่การบินไทยเป็นผู้จัดจำหน่าย อีกทั้งเป็นระบบที่สำนักงานขายของการบินไทยทั่วโลกใช้  ส่วนตัวแทนจำหน่ายทั่วโลกสามารถสำรองที่นั่งการบินไทยผ่านระบบ CRS  เกือบทุกระบบ
    ทั้งนี้การสำรองที่นั่งผ่านตัวแทนจำหน่าย นับวันจะมีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (The International Air Transport Association : IATA)  และสายการบินต่าง ๆ ในประเทศไทยได้พยายามผลักดันงานด้านสำรองที่นั่ง และออกบัตรโดยสารให้ดำเนินการโดยตัวแทนจำหน่ายให้มากขึ้น

   ระบบสำรองที่นั่งผ่านคอมพิวเตอร์ (Computerize Reservation System: CRS) เกิดจากกลุ่มสายการบินและกลุ่มร่วมกันพัฒนา เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในด้านการจัดจำหน่ายอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเป็นการกระจายการขายไปยังตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันทำให้ CRS แต่ระบบเพิ่มผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นอกเหนือจากการสำรองที่นั่งสายการบิน อาทิ การจองห้องพักโรงแรม รถเช่า การจองที่นั่งรถไฟ ฯลฯ ซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่า การสำรองที่นั่งแบบเบ็ดเสร็จ (Global Distribution System: GDS)

  ปัจจุบันทั่วโลกมีระบบสำรองที่นั่งผ่านคอมพิวเตอร์ (CRS) ที่สำคัญดังนี้

1.    ระบบเซเบอร์ (Sabre) ก่อตั้งโดยสารการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส
2.    ระบบอะมาดิอุส (Amadeus) ก่อตั้งโดยสายการบิน แอร์ฟรานซ์ ลุฟท์ฮันซ่า ไอบีเรีย และเอสเอเอส
3.    ระบบอาบาคัส (Abacus) ก่อตั้งโดยสายการบินในเอเซีย คือ สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค สิงค์โปร์ แอร์ไลน์ส และมาเลเซีย แอร์ไลน์ส
4.    ระบบเวริ์ลสแปน (World Span) ก่อตั้งโดยสายการบิน เดลต้า แอร์ไลน์ นอร์ธเวสต์ และทรานสเวริ์ล แอร์ไลน์ส
5.    ระบบกาลิเลโอ (Galileo) ก่อตั้งโดยสายการบิน บริติชแอร์เวย์ และ ยูไนเต็ดแอร์ไลน์
6.    ระบบโทปาส (Tapaz) ก่อตั้งโดยรัฐบาลเกาหลี
7.    ระบบแอกเซส (Axess) ก่อตั้งโดยสายการบิน เจแปน แอร์ไลน์ส
8.    ระบบอินฟินี (Infini) ก่อตั้งโดยสายการบิน ออลนิปปอน แอร์เวย์

          4. GDS – Global Distribution System หรือ การจองแบบเบ็ดเสร็จ(GDS)และระบบอะมาดิอุส

 การจองเบ็ดเสร็จ(Global Distribution System-GDS)เป็นระบบการสำรองที่นั่งสายการบินที่ได้พัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพโดยการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายไปยังผู้ใช้ทั่งโลก พร้อมทั้งเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมถึงการสำรองที่นั่งกับธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวหรือแม้แต่ธุรกิจการทันเทิงผักพ่อนหย่อนใจ เหตุผลที่สายการบินส่วนใหญ่นั้นเลือกใช้ระบบจัดจำหน่ายแบบเบ็ดเสร็จของระบบอะมาดิอุสมาใช้เป็นระบบสำรองที่นั่งของตนเองรวมทั้งใช้เป็นระบบจัดจำหน่ายให้กับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยและทั่วโลก โดยได้รับสิทธิในการจัดจำหน่ายระบบอะมาดิอุสให้กับทั่วแทนจำหน่ายในประเทศไทยและทั่วโลกโดยได้รับสิทธิในจำหน่ายระบบอะมาดิอุสให้กับตัวแทนจำหน่ายในลักษณะที่เรียกว่า National Marketing Company (NMC) นอกจากนี้ระบบอะมาดิอุสเป็นระบบสำรองที่นั่งด้วยคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่เป็นที่ 2 รองจากระบบ Sabre และใหญ่ที่สุดในยุโรปที่ร่วมก่อตั้งโดยสายการบินใหญ่ในยุโรป 4 สาย คือ SAS(Scandinavian Airlines System), Air France, Lufthansa และ Iberia ในปี 1987 และการบินไทย (TG) ได้เข้าร่วมเป็น Partner Airlines ในปี 1988.
        จุดเด่นของระบบอะมาดิอุส (Amadeus) คือ ระบบที่นำเทคโนโลยีด้านการสื่อสารโทรคมนาคมผนวกเข้ากับความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาในลักษณะสายผลิตภัณฑ์ ได้อย่างรวดเร็วและทันกับความต้องการของผู้ใช้โดยสาร ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ เช่น
    1. ระบบสำรองที่นั่งหลัก (Central System) ที่เป็นระบบออกแบบโดยใช้ปรัชญา "User Friendly"
    2. ระบบ Front Office ที่ออกแบบโดยอาศัยความสามารถของ PC-Window เรียกว่า Amadeus pro Tempo
    3. ระบบการสำรองที่นั่งผ่านระบบ Internet
    4. ระบบการนำเสนอข้อมูลการสำรองที่นั่งและออกบัตรโดยสามารถใช้เป็น Information System เรียกว่า Amadeus Interface Record sinv AIR
       และสิ่งสำคัญของระบบการจัดจำหน่ายแบบเบ็ดเสร็จ(GDS) ซึ่งผูออกแบบได้ยึดหลักการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของผู้ใช้ ซึ่งผู้ใช้หลักคือบริษัทตัวแทนจำหน่าย ซึ่งระบบได้พัฒนามารองรับ คือ
    1. ความรวดเร็วต้องเป็นระบบ GDS ที่ให้ข้อมูลกับผู้ใช้งานในทันที ดังนั้นการออกแบบโครงสร้างของระบบโดยเฉพาะในส่วนที่เป็น Mainframe และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมต้องเป็นแบบที่ศักยภาพสูง อีกทั้งเป็นระบบ GDS ใหญ่เช่น Amadeus ที่มีผู้ใช้กว่า 100,000 เครื่องทั่วโลก
    2. ความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy & Reliability) ต้องเป็นระบบ GDS ที่สามารถนำข้อมูลของสายการบิน บริษัทตัวแทนจำหน่าย โรงแรม รถเช่า และอื่นๆมาแสดงต่อผู้ใช้อย่างแม่นยำถูกต้อง ดังนั้นการเชื่อมต่อแบบระบบ Online ไม่ว่าจะเป็น Technology เช่น Host to Host Connection หรือ EDI จะต้องนำมาใช้ให้ถูกต้องกับการเชื่อมต่อระบบในแต่ละระดับ
    3. ความง่ายต่อการเรียกข้อมูล (Available) ต้องเป็นระบบ GDP ที่นำเอาข้อมูลมาใช้ด้วยการเรียก (Input) ที่ง่ายไม่ซับซ้อน หรือที่เรียกว่า User Friendly อีกทั้งมีความสะดวกมากในการเรียกใช้ข้อมูล ซึ่งจะขึ้นอยู่กับระบบสื่อสารที่มีศักยภาพสูง เช่น การใช้ Fiber Optics หรือการใช้การเชื่อมระบบผ่านดาวเทียม(Satellite)
       
         สิ่งที่ควรทราบในการสำรองที่นั่งด้วยระบบ GDS ที่สำคัญได้แก่
    1. องค์ประกอบการเดินทางของผู้โดยสาร (Itinerary Element) ประกอบด้วย
        - เที่ยวบินของผู้โดยสาร
        - ชั้นที่นั่งบนเครื่องของผู้โดยสาร
        - เมืองต้นทางและเมืองปลายทางของผู้โดยสาร
        - เวลาที่ออกและเวลาที่ถึง
        - จุดแวะ
        - เครื่องบินที่ใช้บิน
        - ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทาง
     2. องค์ประกอบของชื่อผู้โดยสาร (Name Element) ประกอบด้วย
        - ชื่อนามสกุล
        - ชื่อผู้โดยสาร
        - เพศ
        - สถานะว่าเป็น ผู้ใหญ่ เด็ก หรือทารก
     3. องค์ประกอบของตั๋วโดยสาร (Ticketing Element) จะประกอบด้วย
        - ผู้โดยสารมีบัตรโดยสารหรือยัง
        - ถ้ายังไม่มีบัตรโดยสาร เจ้าหน้าที่สำรองที่นั่งจะกำหนดเวลาและวันที่ให้ผู้โดยสารมารับบัตรโดยสาร
        - ถ้ามีบัตรโดยสารแล้ว เจ้าหน้าที่จะใส่หมายเลขบัตรโดยสารลงไป
     4. องค์ประกอบในการติดต่อ (contact Element) ประกอบด้วย
        - หมายเลขโทรศัพท์ของผู้โดยสาร หรือผู้ทำการสำรองที่นั่งแทนพร้อมชื่อที่สายการบินสามารถติดต่อได้
        - บันทึกชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ทำการสำรองที่นั่งลงในคอมพิวเตอร์เพื่อจะได้ติดต่อในกรณีมีเหตุฉุกเฉิน อย่างเช่นการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเที่ยวบิน
     5. การขอบริการพิเศษต่างๆ เช่น อาหารพิเศษ,เก้าอี้ล้อเข็นคนไข้,ผู้โดยสารเด็กหรือทารก เป็นต้น
     6. คำย่อที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างสายการบิน เช่น City codes/Airport codes,Airline code.
     7. คำย่อที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์
     8. การอ่านตารางสายการบิน (Airline Schedule)
     9. การบันทึกข้อมูลของผู้โดยสารและการอ่านข้อมูลในการบันทึกข้อมูลผู้โดยสาร ประกอบด้วย
        - ชื่อผู้โดยสาร (Passenger name)
        - รายการเดินทาง (Segment) เช่น เที่ยวบิน,ชั้น,วันที่บิน,เส้นทาง,เวลาเข้าออก เป็นต้น
        - เบอร์โทรศัพท์และสถานที่ติดต่อกับผู้โดยสาร เป็นข้อมูลสำคัญที่ต้องระบุใน passenger Name Record (PNR) ทุกครั้ง



        5.Cloud Computing

         Cloud Computing คือ ..

 คือวิธีการประมวลผลที่อิงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยผู้ใช้สามารถระบุความต้องการไปยังซอฟต์แวร์ของระบบCloud Computing จากนั้นซอฟต์แวร์จะร้องขอให้ระบบจัดสรรทรัพยากรและบริการให้ตรงกับความต้อง การผู้ใช้ ทั้งนี้ระบบสามารถเพิ่มและลดจำนวนของทรัพยากร รวมถึงเสนอบริการให้พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ได้ตลอดเวลา โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบเลยว่าการทำงานหรือเหตุการณ์เบื้องหลังเป็น

Cloud หรือบางคนก็บอกว่า Cloud Computing มันคืออะไร ค้นในเน็ตเจอคำแปลต่างๆ มากมาย ส่วนใหญ่บอกว่า การประมวลผลบนก้อนเมฆ… ถ้าสำหรับแบบที่ผมคิดนะ ผมว่าก็คือระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์เรานี่แหละ แต่แทนที่จะต้องมาประมวลผล หรือทำงานแบบเดิมคือทำบน PC แบบที่เราเคยใช้ๆกันอยู่มันจะย้ายไปทำงานผ่านพวก WEB Browser บนโลกอินเตอร์เน็ต อาทิเช่น เดิม เราใช้ Microsoft Word, Excel, Power Point โดยเราต้องเปิด PC แล้วรอมัน Windows มันบู๊ต แล้วเราก็เลือกไอคอน โปรแกรม แล้วก็คลิ๊กเปิด แล้วก็ใช้งาน

Cloud Computing

แต่ถ้าเป็น Cloud Computing หรือ Cloud Service คือเราเข้าอินเตอร์เน็ตให้ได้ และเราก็จะใช้งานโปรแกรมอะไรก็ตามแต่ ผู้ให้บริการบนโลกอินเตอร์เน็ต เขาก็จะเตรียมไว้ให้เราแล้ว (แต่ถ้าเข้าอินเตอรเน็ตไม่ได้…ก็เกิดเรื่องกันละทีนี้) เอาให้ง่ายเข้าไปอีก ลองคิดถึงแต่ก่อนเราอาจจะต้องใช้ Outlook หรือ Lotus Note ในการทำงานเพื่อเปิดเครือ่งเพื่อรับเมล์ เดี๋ยวนี้เราจะเห็น มี Google, Hotmail หรือ Yahoo ให้เราสามารถเช็คเมล์ได้ โดยเฉพาะ Google พี่ท่านกะล็อกทุกอย่าง หรือครองโลกออนไลน์เลยก็ว่าได้ เดี๋ยวถ้าเรามี Domain แล้วไม่ต้องการมี Server หรือตั้งระบบ Mail Server เราสามารถไปเช่าใช้บริการผูกเมล์เราเข้ากับระบบ Gmail ของ Google ได้อีกต่างหาก

Cloud Computing

อีกหน่อย ในความคิดผมนะ เครื่อง PC หรือ Notebook ต่อไปเปิดมา อาจจะไม่ต้องเปิดผ่าน Windows เลยก็เป็นไปได้ คือเปิดขึ้นมากลายเป็น WEB OS เลย ก็คือแบบเปิดปุ๊บ เข้าอินเตอร์เน็ตทันที อยากใช้โปรแกรมอะไรก็แค่ เรียก หรือเปิดใช้บริการเอา อาจจะมีทั้งแบบฟรี หรือเสียเงินก็ว่ากันไป และแนวโน้มก็ค่อนข้างจะไปทางนั้นแหละผมว่า เพราะเดี๋ยวนี้เราเริ่มมีอุปกรณ์พวก tablet หรือ มือถือ ที่สามารถเชื่อมต่อเข้าระบบอินเตอร์เน็ตได้แบบทันทีที่เปิดเครื่อง และแนวโน้มของคนที่จะใช้ tablet นั้น ผมขอเดาว่าอีกไม่นาน 1-2 ปีนี้ จะมีปริมาณที่มากกว่า PC หรือ Notebook กว่าในอดีตมาก โดยเฉพาะอัตราการเติบโตของจำนวนผู้ใช้ที่จะโตไวมาก เพราะมันชัดแล้วว่า เทคโนโลยีจะไวขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และราคาก็จะถูกลงเรื่อยๆ ทำให้ สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้ทุกเพศ ทุกวัย

อันนี้ก็คือวีดีโอที่พอดีไปค้นเจอมา โดยรายงานพิเศษจากรายการแบไต๋ไฮเทคที่สามารถจะอธิบายเรื่องของคำศัพท์แห่งยุค Cloud Computing ให้เข้าใจได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างชัดเจน ใครที่สนใจเทคโนโลยี server สมัยใหม่ต้องดู อธิบายแบบไทยๆ ให้ดูเข้าใจง่าย (ขอบคุณ วีดีโอจากรายการ แบไต๋ไฮเทค ด้วยนะครับ)


ประโยชน์ของ cloud computing

-มีความคล่องตัว ผู้ใช้สามารถดึงข้อมูลจาก Server ได้ตามต้องการ มีความยืดหยุ่น สามารถขยายหรือลดโครงสร้างพื้นฐานได้สะดวกและง่ายต่อการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง

-Reduction in costs: มีต้นทุนที่ลดลงเนื่องจากผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องติดตั้ง Server ขนาดใหญ่ด้วยตนเอง  ลดภาระต้นทุนเกี่ยวกับการติดตั้งและบำรุงรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และซอฟท์แวร์ประมวลผลขนาดใหญ่

-Freedom of Location :  มีอิสระจากอุปกรณ์ และสถานที่  เพราะผู้ใช้สามารถเรียกดูข้อมูลได้จากทุกแห่งทั่วโลกที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้

-Scalability and speed :  การขยายตัวเป็นแบบ (Scalability)  สูง สามารถเข้าถึงแพลทฟอร์มที่หลากหลายและความสามารถในการทำงานร่วมกับแพลทฟอร์มที่ยึดหยุ่นและมีศักยภาพด้วยโครงสร้างที่หลากหลาย

-มีความไว้วางใจ (Reliability)  สูงขึ้น

-มีความปลอดภัย (Security) สูง เนื่องจากทุกๆ โปรแกรมและไฟล์ทั้งหมดจะถูกเก็บอยู่ใน Supercomputer ส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่หรือจัดเก็บอยู่ใน Network ความเร็วสูง

-มีความยั่งยืน (Sustainability)  ซึ่งได้จากการใช้ทรัพยากรที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพ

-Reduce run time and response time : เพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลของโปรแกรมประยุกต์  ทำให้โปรแกรมที่มีการคำนวณและประมวลผลที่ยุ่งยากและซับซ้อนสามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น

-Enabling Innovation: ได้รับบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่เสมอ

-Ease of Use:  ใช้งานง่าย โดยเปรียบเหมือนเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน


         6. e-Tourism : ชองทางการตลาดใหมของการท่องเที่ยว

 ในปัจจุบันการท่องเที่ยวถือเป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในต่างประเทศ   ประเทศไทยนั้นถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวเป็นอันดับต้นๆ  แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้คงไม่มีมีใครคิดจะเดินทางท่องเที่ยว และจากสภาพเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันนี้เองทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะรายได้หลักของประเทศไทยนั้นมาจากการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้การท่องเที่ยวของไทยย่อมได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก  อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การท่องเที่ยวไทยไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรก็คือผู้ประกอบการ  บริษัททัวร์และนักธุรกิจด้านการท่องเที่ยวยังคงยึดติดอยู่กับการท่องเที่ยวแบบเดิมๆอยู่ นั่นคือการนั่งรอนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาและมุ่งหานักท่องเที่ยวที่พำนักอยู่ในประเทศไทยเท่านั้นแต่กลับไม่แสวงหานักท่องเที่ยวจากมุมโลกอื่นเลยทั้งนี้เพราะผู้ประกอบการในไทยยังไม่เปิดกว้างและก้าวเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ต (Internet) เท่าที่ควรหรือยังไม่คุ้นเคยกับระบบที่เรียกว่า E-Tourism
                E-Tourism คือการใช้ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีในการท่องเที่ยวเพื่อช่วยให้การท่องเที่ยวเป็นเรื่องง่าย  ในปัจจุบัน E-Tourism ไม่ใช่เรื่องแปลกในระดับโลกอีกต่อไปเพราะธุรกิจท่องเที่ยว บริษัททัวร์ต่างๆที่เป็นบริษัทระดับยักษ์ใหญ่ของโลกนั้นต่างใช้ E-Tourism ในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ได้ฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นและทำให้การบริการด้านการท่องเที่ยวเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลกโดยผ่านอินเตอร์เน็ตออนไลน์ การเข้ามาของอินเทอร์เน็ตได้ปฏิวัติวิถีการท่องเที่ยวแบบโบราณ โดยเฉพาะ การสืบค้นข้อมูล ข้อหาสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมชั่น รวมถึงวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ให้ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ และยังสร้างสรรค์โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการได้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุดมากขึ้น แต่สำหรับประเทศไทยนั้น E-Tourism ยังคงเป็นเรื่องแปลกใหม่เพราะผู้ประกอบการและบริษัททัวร์ส่วนใหญ่ในไทยนั้น ยังคงขาดความรู้และความเข้าใจในการใช้อินเตอร์เน็ตในการให้บริการด้านการท่องเที่ยวอยู่มาก แม้ว่าในปัจจุบันจะมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกรวม 1,000 ล้านคน และ 80% ของคนจำนวนนี้ ใช้อินเตอร์เน็ตในการหาข้อมูลด้านการท่องเที่ยว อาทิ แหล่งท่องเที่ยว โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร และบริการด้านการท่องเที่ยวอื่นๆ ตลอดจน การใช้บริการจองผ่านอินเทอร์เน็ต ด้วยระบบ E-Commerce ก็ตาม ซึ่งส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร
                นอกจากบริษัททัวร์ของไทยไม่เปิดเข้าหาโลกอินเตอร์เน็ตเท่าที่ควรแล้ว ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การท่องเที่ยวของไทยประสบปัญหา คือ การที่โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว หรือบริษัททัวร์ขาดความร่วมมือที่ดีต่อกัน จากแนวคิดของ Ronold R.Coase (1937) กล่าวว่า หน่วยผลิตจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีต้นทุนธุรกรรม (Transaction Cost) ซึ่งก็คือ ต้นทุนในการติดต่อกับผู้ผลิตรายอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าหรือบริการของหน่วยผลิต ซึ่งถ้าหากมีต้นทุนทางธุรกรรมในการติดต่อสูงจะทำให้หน่วยผลิต เลือกที่จะผลิตสินค้าหรือบริการด้วยตนเองโดยไม่ติดต่อกับผู้ผลิตรายอื่นๆ จากทฤษฎีดังกล่าวจะเห็นได้ว่าบริษัททัวร์ในประเทศไทยที่ยังขาดความร่วมมือต่อกันนั้น ผมเห็นว่ามาจากสาเหตุใหญ่ๆ สองประการ คือ
ความเสี่ยงจากการสูญเสียข้อมูลกลุ่มลูกค้า: มาจากการที่หน่วยงานต่างๆมีการปกปิดข้อมูลลูกค้าต่อกัน อาจเนื่องด้วยการเกรงกลัวการสูญเสียลูกค้าให้กับคู่แข่ง เพราะการทราบข้อมูลลูกค้าของคู่แข่ง จะทำให้คู่แข่งเกิดการพัฒนาบริการให้เหมาะสมกับลูกค้าได้มากขึ้น และนำไปสู่การแย่งลูกค้าระหว่างบริษัทด้วยกัน ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าที่เข้ามาท่องเที่ยวต้องเสียเวลาในการติดต่อ โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยวแยกกันต่างหาก ทำให้การท่องเที่ยวในประเทศไทยไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร
ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของบริการของหน่วยผลิตรายอื่น: เกิดจากการที่ผู้ประกอบการการท่องเที่ยวในประเทศไทยขาดการจัดมาตรฐานที่ดี ทำให้เกิดการขาดความไว้ใจที่จะส่งลูกทัวร์ให้แก่กันและกัน ยกตัวอย่างเช่น บริษัททัวร์รายหนึ่งได้ทำสัญญากับสายการบินA โดยที่ไม่รู้ว่าสายการบินA เป็นสายการบินที่ราคาถูก แต่ไม่มีมาตรฐาน ซึ่งเมื่อนักท่องเที่ยวใช้บริการแล้วไม่พอใจกับบริการ ก็จะตำหนิไปยังบริษัททัวร์ ซึ่งทำให้บริษัททัวร์เสียชื่อเสียง ทั้งนี้จากทฤษฎีของ Coase การกระทำเช่นนี้อาจเรียกได้ว่า เป็น สัญญาที่ไม่สมบูรณ์ (Incomplete Contract) เนื่องจากไม่สามารถบังคับให้ผู้ประกอบการอื่นๆทำตามาตรฐานที่ต้องการได้ ซึ่งอาจเกิดจากความจำกัดในการประมวลข้อมูลของคน (Bounded Rationality) เช่น ข้อมูลความรู้ การคาดการณ์ ทำให้หน่วยผลิตไม่สามารถเขียนสัญญาที่สมบูรณ์ (Complete Contract) ได้
            นอกจากนี้อีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้ E-Tourism ไม่ประสบความสำเร็จกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเท่าที่ควร ก็คือ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไม่เชื่อมั่นในระบบ E-Tourism ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย จากผลสำรวจของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พบว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่รู้จักเวบไซต์การท่องเที่ยวของไทย  และยังรู้สึกไม่ปลอดภัยในการตัดสินใจเลือกบริษัททัวร์ในการท่องเที่ยว  ซึ่งมีข้อมูลด้านการท่องเที่ยวหรือแพคเกจทัวร์ที่ไม่ชัดเจน  มีความกังวลว่าบริการที่โฆษณากับบริการที่ได้รับจะไม่เหมือนกัน อีกทั้งยังขาดความสะดวกในการซื้อบริการ  ซึ่งพฤติกรรมของลูกค้าเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงความไม่สมมาตรของข้อมูล (Asymmetric Information) ระหว่างลูกค้ากับผู้ประกอบการการท่องเที่ยวของไทย ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเที่ยวในเมืองไทยถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของกิจการที่มีข้อมูลมากกว่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว และทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง
             นอกจากนี้หากมองในแง่ของผู้ผลิตแล้ว E-Tourism ยังทำให้หน่วยผลิตมีต้นทุนทางธุรกรรมถูกลงเพราะ จะทำให้การติดต่อระหว่างหน่วยผลิตต่างๆ กับลูกค้านักท่องเที่ยว เป็นไปได้ง่ายและไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย แต่ว่าผู้ประกอบการต่างๆในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะต้องหันมาให้ความร่วมมือกันในเรื่องข้อมูลลูกค้า รวมไปถึงการรักษาระดับมาตรฐานการบริการของการท่องเที่ยวไทย ซึ่งผมคิดว่าจะทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเป็นหนึ่งเดียว สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติได้ดีขึ้น และอาจนำไปสู่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้อีกด้วย
              เมื่อเห็นประโยชน์จาก E-Tourism มากมายขนาดนี้แล้วผู้ประกอบการทั้งหลายก็ควรหันมาสนใจการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่นี้กันให้มากกว่าเดิม  รับรองว่าหากประเทศไทยเราพัฒนาให้ระบบการท่องเที่ยว E-Tourism ให้ทัดเทียมกับต่างชาติตำแหน่งผู้นำด้านการท่องเที่ยวของโลกก็คงจะไม่ไกลเกินเอื้อมแน่ๆ...                    

       7. ความหมายของ Web blog

 บล็อก (อังกฤษ: blog) เป็นคำรวมมาจากคำว่า เว็บล็อก (อังกฤษ: weblog) เป็นรูปแบบเวปไซต์ประเภทหนึ่ง ซึ่งถูกเขียนขึ้นในลำดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้แรกสุด บล็อกโดยปกติจะประกอบด้วย ข้อความ ภาพ ลิงก์ ซึ่งบางครั้งจะรวมสื่อต่างๆ ไม่ว่า เพลง หรือวิดีโอในหลายรูปแบบได้ จุดที่แตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์โดยปกติคือ บล็อกจะเปิดให้ผู้เข้ามาอ่านข้อมูล สามารถแสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความที่เจ้าของบล็อกเป็นคนเขียน ซึ่งทำให้ผู้เขียนสามารถได้ผลตอบกลับโดยทันที คำว่า "บล็อก" ยังใช้เป็นคำกริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก
Blog คืออะไร
 Blog เป็นเว็บไซต์ที่สามารถเป็นได้หลากหลายอย่างแล้วแต่เจ้าของอยากให้เป็น ตั้งแต่ไดอารีส่วนตัว สถานที่สำหรับใช้ในการทำงานร่วมกัน (collaborative work space) หรือสภากาแฟสำหรับคุยเรื่องการเมือง แหล่งรวมข่าวสารความเป็นไป แหล่งรวมลิงค์ ไปจนถึงสมุดบันทึกความเป็นไปของโลกใบนี้ สรุปก็คือ "Blog" เป็นที่ซึงเราเอาไว้เขียนเรื่องราวที่ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โดยเรื่องที่เขียนเข้าไปใหม่ จะอยู่ส่วนบนสุด ซึ่งทำให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม สามารถอ่านเรื่องราวใหม่ๆได้ และยังสามารถที่จะเสนอแนะหรือติชมได้ ในกรณีที่เจ้าของ Blog นั้นๆ อนุญาติ
 ที่จริงแล้ว Blog ได้ถือกำเนิดขึ้นมากว่า 5 ปีแล้ว แต่เพิ่งจะมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในช่วงปีที่ผ่านมานี้เอง และได้เปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับการใช้เว็บไซต์ ตลอดจนมีการประยุกต์ใช้ในหลากหลายรูปแบบ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้คนนับล้านๆทั่วโลกได้มีโอกาสสื่อสาร และติดต่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ที่ชื่นชอบในสิ่งเดียวกันทั่วโลก นอกจากนี้ยังมี Group Blogs ที่เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ blog ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารกันสำหรับกลุ่มคน อย่างเช่น ทีมงาน สมาชิกครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนต่างๆ โดยที่ Group Blogs นี้จะเป็นพื้นที่สำหรับแลกเปลี่ยนข่าวสาร Links และไอเดียต่างๆ
 ผู้ที่ใช้งาน Blog หรือเจ้าของ Blog เราจะเรียกว่า "Blogger" สามารถเข้าไปอัพเดต blog ของตนเอง ณ ที่ใดก็ได้ที่สามารถเข้าถึง Intenet ได้ โดยไม่แน่ว่าในอนาคต ThaiBlogOnline อาจจะให้เจ้าของ blog สามารถอัพเดต blog ของตนเองผ่านทาง SMS มือถือก็เป็นได้ นอกจากนี้ยังสามารถโพสรูปภาพ เสียง และวีดีโอไปยัง blog ได้อีกด้วย
Weblog ทำอะไรได้บ้าง
 อนุญาติให้ผู้ใช้งานหรือ blogger สามารถโพสรูปภาพ ในรูปแบบ jpeg, gif และ png ได้ สามารถโพสไฟล์ Macromedia Flash (.swf) ได้ และไฟล์มัลติมีเดีย mpeg, mpg, avi, mp3, wma ได้ นอกจากนี้ ผู้ใช้งานสามารถสร้างเนื้อหาของต้นเองได้ด้วยวิธีง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้คำสั่ง HTML หรือ Javascipt แต่อย่างใด เพราะทูลที่เรานำมาให้ใช้งานนั้น เป็นทูลแบบ WYSIWYG (what you see is what you get) อย่างเช่น ปรับขนาดตัวหนังสือ เปลี่ยนสี ขึ้นย่อหน้า ใส่รูป ด้วยการคลิ้กเมาส์ไปที่ทูลบาร์ต่างๆ เสมือนกับการใช้งานโปรแกรมสำเร็จรูปอย่าง Microsoft Word เป็นต้น
ประโยชน์ของ Weblog
  Blog มีไว้เพื่อตอบสนองตัณหาของเจ้าของ blog ถึงแม้ว่า blog จะมีลักษณะหน้าตาคล้ายกัน แต่ blog แต่ละแห่งจะมีบุคลิกเฉพาะตัว แตกต่างกันไปเหมือนบุคลิก บาง blog แค่เล่าเรื่องชีวิตประจำวัน บาง blog เกาะติดข่าว บาง blog คุยเรื่องการเมืองหรือปรัชญา จงนั้นอาจแบ่งประโยชน์ได้หลายแบบด้วยกัน ซึ่งอาจจะแจกแจงได้ดังนี้
          1.เปิดตัวเองให้โลกรู้ เรื่องของ blog มักเป็นเรื่องราวของเจ้าของ blog เป็นการเล่าประสบการณ์หรือความคิดของเจ้าของ เป็นการถ่ายทอดความคิดความรู้สึกของเจ้าของ blog เป็นการระบายความเคลียดอีกทางหนึ่ง
          2.ทันข่าวทันเหตุการณ์ ประสบการณ์บางคนก็เป็นข่าวเห็นอีกหลายคนได้ ข่าวจาก blog หลายแห่งเป็นข่าววงใน บางคนเล่าเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุที่เจอมา หลาย blog พูดถึงแนวโน้มหรือความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ
          3. กลั่นกรองข้อมูล blog บาง blog จะมีการกลั่นกรองข้อมูลก่อนนำลง blog ทำให้ผู้อ่าน blog ไม่ต้องเสียเวลาในการกลั่นกรองข้อมูล เพราะมีการนำเสนอข้อมูลหรือมีไกด์ในการท่องเว็บ
          4. รายงานการท่องเว็บ เป็นวัตถุประสงค์หลักที่เป็นต้นกำเนิดของการทำ blog หลาย blog มีการลิงก์ไปยังเว็บที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาใน blog ซึ่งเป็นการแนะนำว่าเว็บไหนดีก็ไปที่เว็บนั้น
          5. การแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นความในใจของเรื่องต่างๆ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ หรือการบ่นที่ทุกคนมีอยู่ในใจ การทำ blog เป็นช่องทางถ่ายทอดความคิดเห็นให้คนอื่นรับรู้
          6. ถ่ายทอดประสบการณ์ หรือไดอะรี่ออนไลน์ เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตประจำวัน หรือเป็นการเล่าเรื่องการเดินทางท่องเที่ยว เช่น www.terrystrek.com
          7. โน้มน้าวใจผู้อ่าน ลักษณะนี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่กรณีแบบนี้เป็นการขายความคิด อย่าง blog สำหรับคอการเมืองอาจจะมีฝ่ายซ้าย - ฝ่ายขวา,สายเหยี่ยว ­- สายพิราบ จะพบว่าเนื้อหาจะเป็นการโพสต์โจมตีฝ่ายตรงข้าม แล้วก็สนับสนุนแนวความคิดของตนเอง
ผู้คิดค้น Weblog
 บางคนอาจรู้แล้วแต่บางคนก็ยังไม่รู้ว่า Web blog นั้นมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ผมมีเรื่องราวของ web blog มาเล่าให้ฟัง… Web blog หรือ Blog เมื่อย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่เริ่มมีการใช้งานเวิลด์ไวด์เว็บ(www) เมื่อปี 1992 เจ้าหน้าที่ของ CERN (สถาบันวิจัยนิวเคลียร์ภาคพื้นยุโรป) ได้คิดค้นและสร้างเว็บมาเพื่อแจ้งข่าวสารใหม่ๆในวงการเว็บ รวมถึงข่าวสารเว็บไซต์ที่เกิดขึ้นใหม่ โดย ลิงค์ ไปยังเว็บอื่นพร้อมทั้งอธิบายด้วยว่าเว็บนั้นว่าเกี่ยวกับอะไร และมีอะไรน่าสนใจ เรียกได้ว่าเป็นเว็บแบบ What ‘s New
  หลังจากนั้นใน ปี 1997 Mr.Jorn Barger ซึ่งเป็นเจ้าของเว็บ robotwisdow.com ซึ่งเป็น Blog รุ่นแรกๆ ก็ได้คิดค้นคำว่า web blog ขึ้น จากนั้นก็เริ่มมี weblog ก็เกิดขึ้นตามมาเรื่อยๆ

จนกระทั่งในปี 1999 โดย mr.Peter Merhole เจ้าของเว็บ peterme.com ได้ประกาศว่าจะอ่าน Weblog ว่า “วี-บล็อก” หรือเรียกสั้นๆ ว่า Blog  นับตั้งแต่นั้นมา blog ก็เป็นที่นิยมกันมาขึ้นเรื่อยๆ โดยในปีเดียวกันนี้ เริ่มมีเว็บไซต์ที่ให้บริการช่วยสร้าง blog ให้กับผู้ใช้แบบฟรี นั่นคือ Blogger.com กับ Pitas.com  นับเป็น blog site รุ่นแรกๆ ที่ให้บริการสร้าง blog ของตนเองแก่ผู้ใช้ โดยการสมัครเป็นสมาชิกพร้อมกับให้ใช้เครื่องมือในการสร้าง blog ของตนเองผ่านทางเว็บเบราวเซอร์ เช่น IE , Firefox เป็นต้น ทำให้มีผู้ใช้สร้าง blog ของตนเองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นับเป็นหลายหมื่นหลายแสน blog
 นอกจากนี้แล้วก็ยังมีโปรแกรมประเภท ช่วยสร้าง blog (Blogware) ฟรีประเภท Opensource เช่น Be2evolution, WordPress (ปัจจุบันเป็นที่นิยมมาก) เป็นต้น จนกลายเป็นข่าวดังตั้งแต่ปี 2002 มีข่าวเกี่ยวกับ blog ลงในเว็บไซต์ของ CNN, BBC ยิ่งทำให้มีคนนิยมสร้าง blog กันมากขึ้น แม้แต่บริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่อย่าง ไมโครซอฟต์ เองก็ได้เปิดให้บริการ blog ฟรี ให้กับผู้ใช้ ผ่านทางเว็บไซต์ http://home.services.spaces.live.com/
 สำหรับ ในเมืองไทยเราหลายวงการก็ได้นำเอา blog เป็นเครื่องมือช่วยในการประกอบธุรกิจ การค้าผ่านอิเล็กทรอนิกส์ การแลกเปลี่ยนความรู้ออนไลน์ การใช้เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสาร อาทิ http://Bloggang.comhttp://oknation.com และ http://gotoknow.org

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น